วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

แมลง (Insect) 10 ชนิดน่ารู้

ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sterocera acquisignata Saunders
อันดับ : Coleoptera
ชื่อวงศ์ : Buprestidae
ชื่อสามัญ : Metalic Wood Boring Beetle
ชื่ออื่น : แมงคับ
ประเภทสัตว์ : สัตว์ปีก

ลักษณะทาง กายภาพ :
                แมลงทับมีลำตัวเหลือบเป็นมัน มีสีเขียวน้ำเงินสวยเป็นเงางาม โดยเฉพาะที่ด้านล่างของลำตัวปล้องที่ 2 และปล้องแรกไม่แยกจากกันเด่นชัดนัก ตัวมันแข็งมาก มักพบทั่วไปในขณะที่มีแสงแดดดี ตกใจง่าย บินเร็ว
แหล่งที่พบ :
                ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในดิน ตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ตามใบไม้ของไม้ต้นและไม้พุ่ม เช่น ต้นมะค่า ต้นเต็ง ต้นมะขาม บางชนิดชอบอยู่      ในต้นไม้ตายที่ล้ม และจะเปลี่ยนต้นเรื่อย ๆ ไม่อยู่ประจำต้นเดียว ตัวเมียวางไข่ในรอยแตกของเปลือกไม้ ตัวไม่เต็มวัยชอบเจาะใต้เปลือกไม้เข้าไปในเนื้อไม้เป็นรอยคาดรอบกิ่งไม้ ต้นไม้ถูกทำลาย อาจเป็นต้นไม้ถูกตัดแล้วใหม่ๆ หรือล้มลงเอง อาจพบบ้างที่ทำความเสียหายแก่ลำต้น กิ่งของไม้ผล
ประโยชน์และความสำคัญ :
                แมลงทับไทยที่มีอยู่ 2 พันธุ์ ทั้งพันธุ์ขาเขียวที่มีอยู่มากในภาคกลาง และพันธุ์ขาแดงที่มีมากที่สุดตามป่าเขาในภาคอีสาน     ทั้งในเขตเมืองและป่าดงดิบกำลังอยู่ในอันตรายจำนวนลดฮวบอย่างน่ากลัว กลายเป็น สิ่งหาดูได้ยาก เกิดจากพืชอาหารของมันที่มีใบต้นพันชาด ต้นเต็ง ต้นพะยอม ต้นตะแบก ต้นคางคกหรือกางขี้มอด ต้นรัง ต้นแดง ต้นประดู่ ต้นกระบก ต้นมะขามป้อม ต้นมะค่าแต้ และต้นคูนลดจำนวนลงมาก อีกเหตุผลหนึ่งเกิดจากคนจำนวนมากหลงใหลในรสชาติของมัน พากันจับเอาไปกิน ใช้วิธีเอาท่อนไม้ใหญ่ๆฟาดลงไปกลางลำต้นพืชอาหารที่มันเกาะอาศัยอยู่ ก่อให้เกิดการสั่นเขย่าอย่างแรงให้มันร่วงลงมาแล้วจับเอาไปกินในรูปการต่างๆ ตั้งแต่เด็ดปีกเสียบไม้ย่างกิน เอาไปผัดน้ำมันกินหรือเอาไปคั่วกิน ส่วนปีกของมันที่เด็ดออกเอาไปประดับฝาบ้านหรือไม่ก็เอาไปประดับกระติบข้าว นำไปเผาไฟ คั่ว ทอดหรือยัดไส้หมู สับและนึ่ง โดยเด็ดปีก หัว และขาออก ปีกยังสามารถนำไปทำเครื่องประดับอีกมากมาย




                        แมลงปอ (อังกฤษ: Dragonfly) เป็นแมลงมีปีก 4 ปีก กินแมลงเป็นอาหาร บางคนเรียกว่า นักล่าแห่งเวหา เพราะมีความสามารถในการบินสูงมาก แมลงปอสามารถบินได้ไกลถึง 100 ก.ม. การขยับปีกขึ้น-ลง จะใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 500 ครั้งต่อวินาที
ประเภท และชนิด
                        แมลงปอในโลกนี้มีอยู่มากกว่า 5,000 ชนิด(species) จัดอยู่ประมาณ 500 สกุล ซึ่งศาสตราจารย์ G.H.Carpenter ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ แบ่งแมลงปอออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ โดยดูจากลักษณะของเส้นปีก รูปร่างปีก และลักษณะการวางปีกขณะเกาะอยู่ แบ่งเป็น
1.         กลุ่มแมลงปอบ้าน มีลักษณะตัวใหญ่ สีเข้ม หัวโต ตากว้างแต่ไม่โปน ปีกคู่หลังใหญ่กว่าปีกคู่หน้า เวลาเกาะจะกางปีกในแนวราบ
2.         กลุ่มแมลงปอเข็ม มีตัวเล็ก ตาโปน ปีกคู่หลังมีขนาดเท่ากับปีกคู่หน้า เวลาเกาะจะหุบปีก
ในประเทศไทยมีการค้นพบแมลงปอมากกว่า 295 ชนิด
                        ตัวอ่อนแมลงปอ ( naiad ) อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำจืดทั่วไป ลักษณะแตกต่างจาก ตัวพ่อตัวแม่ เพราะตัวแม่วางไข่ในน้ำ หรือตามพืชน้ำ ลอกคราบ ประมาณ 10-15 ครั้ง จึงเป็นตัวเต็มวัย กินลูกน้ำและลูกอ๊อดเป็นอาหาร บางครั้งก็กินพวกเดียวกันเอง ตัวอ่อนแมลงปอหายใจด้วยเหงือกที่อยู่บริเวณหาง ตัวอ่อนแมลงปอเคลือนใหวโดยการใช้ขาพายน้ำและการพ้นน้ำออกจากก้นเหมือนไอพ้น เพื่อให้เองตัวพุ่งไปข้างหน้า ตัวอ่อนแมลงปอใช้ชีวิตนานอยู่ในน้ำนาน1-3ปี จากนั้นจึงขึ้นจากน้ำมาลอกคราบและผึ่งปีกเพื่อจะกลายเป็นตัวเต็มวัย แมลงปอมักผึ่งปีกในเวลากลางคืน รุ่งขึ้นเมื่อปีกแห้งก็สามารถบินได้


แมลงหวี่ (Pomace flies)
แมลงหวี่แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. แมลงหวี่ (Pomace Flies) :Drosophila spp. แมลงหวี่มีลำตัวเล็ก ตัวเต็มวัยยาวประมาณ 3-4 มม. ลำตัวมีสีเหลืองถึงน้ำตาลดำ ตามีขนาดใหญ่สีแดง กินอาหารจำพวกผัก และผลไม้ ชอบผลไม้ที่เน่าเสีย มีราขึ้น
2. แมลงหวี่ตา (Eye Flies) : Hippelates pallipes เป็นแมลงตัวเล็กๆ ขนาด 1.5-2.5 มม. ลำตัวมีสีน้ำตาลถึงดำ ตามีสีน้ำตาลขนาดใหญ่ อาหารพืชผัก หรือผลไม้เน่าเปื่อย ขยะ อาหารสด เมือกและน้ำเหลืองของคนและสัตว์
3.แมลงหวี่ขน (Moth Flies) : Psychoda alternata SAY ลักษณะทั่วไป คือ บริเวณบนปีกมีขนหรือขนผสมเกล็ดปกคลุมเต็ม ปลายปีกเป็นมุมแหลม ตัวหนอนกินวัตถุที่ตายและเน่าเปื่อยแล้วเป็นอาหาร ตัวเต็มวัยเพศเมียบางชนิดอาจกัดและดูดเลือดคน
การป้องกันและกำจัด :
1. กำจัดเศษขยะมูลฝอย โดยเฉพาะที่เป็นขยะอาหารสด ผักผลไม้เน่า สามารถลดแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงหวี่ได้
2.ใช้การอบละอองสารเคมี(misting) เพื่อกำจัดตัวเต็มวัยของแมลงหวี่



 
 แมลงวันจัดอยู่ใน Phylum Arthropoda จัดอยู่ใน Class Insecta Order Diptera และ Suborder Cyclorrhapha มีการเจริญเติบโตเป็น 4 ระยะ เช่นเดียวกับยุง คือ ระยะ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวแก่ ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมแมลงวันจะวางไข่ครั้งละ 100-150 ฟอง แมลงวันมีปาก 2 แบบคือ แบบที่ใช้ดูด ได้แก่ แมลงวันคอก และแบบที่ใช้ขูดหรือครูด ได้แก่แมลงวันบ้าน เป็นต้น แมลงวันที่เป็นปัญหาต่อการสาธารณสุขคือแมลงวันบ้าน และแมลงวันหัวเขียว
1.แมลงวันบ้าน ( House Flies )
แมลงวันบ้านที่พบมากที่สุดคือ Musca domestica แมลงวันบ้านเป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกยกเว้นบริเวณที่มีอากาศหนาวจัด ซึ่งเป็นพาหะนำโรคหลายชนิด ได้แก่ อหิวาตกโรค ไข้รากสาด บิด เป็นต้น และเป็น Intermediate host ของหนอนพยาธิบางชนิด ซึ่งแมลงวันนำเชื้อโรคมาสู่คนได้โดย การสำรอกน้ำย่อยและน้ำลายออกมาปนเปื้อนอาหารของมนุษย์ จึงทำให้เป็นโรค
วงจรชีวิตของแมลงวันบ้าน
   ระยะเป็นไข่ แมลงวันบ้านมักจะวางไข่ตามมูล สัตว์ สิ่งปฏิกูล มูลฝอยเปียก น้ำเสีย และสารอินทรีย์เน่าเปื่อยอื่น ๆ ไข่มีรูปร่างเป็นวงรี สีขาวนวล ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร ถ้าหากอากาศอบอุ่นจะแตกตัวออกเป็นตัวอ่อนภายใน 1/2-1 วัน
   ระยะตัวอ่อน ตัวอ่อนของแมลงวันบ้านมีรูปร่าง ทรงกระบอกปลายข้างหนึ่งเป็นรูปกรวย ยาวประมาณ 10-12 มิลลิเมตร ตัวอ่อนลอกคราบ 3 ครั้ง ถ้าอากาศอบอุ่นภายในเวลา 4-7 วัน มันจะคลานออกมาจากสิ่งปฏิกูล ตกลงสู่พื้นกลายเป็นดักแด้
   ระยะดักแด้ ดักแด้ของแมลงวันบ้านมักอยู่ในที่ สงบ เช่น ในดิน กองเศษไม้ใบหญ้า เป็นต้น ไม่มีการเคลื่อนไหวไปไหน อายุการเป็นดักแด้ขึ้นอยู่กับภูมิอากาศ ถ้าอากาศอบอุ่นเป็นเวลา 3 วันก็จะลอกคราบกลายเป็นดักแด้ แต่ถ้าอากาศเย็นอาจนานถึง 26 วัน จึงจะกลายเป็นตัวแก่
   ระยะตัวแก่ ตัวแก่ของแมลงวันบ้านตัวผู้มีลำ ตัวยาวประมาณ 5.8-6.5 มิลลิเมตร ตัวเมียยาวประมาณ 6-9 มิลลิเมตร มีสีเทาหม่น มีหนวดเส้นเล็ก ๆ 2 เส้น สำหรับรับความรู้สึก มีปีก 2 คู่ มีลักษณะใสไม่มีเกล็ด มีขา 3 คู่ ส่วนท้องและอกมีสีเหลืองปนเทา มีรอยเส้นตามยาวแคบ ๆ อยู่ 4 เส้น สามารถบินได้ไกลจากแหล่งกำเนิดในระยะประมาณ 6 ไมล์ ภายใน 24 ชั่วโมง แต่โดยทั่วไปมักบินวนหากินในระยะ 100-500 เมตร ตัวแก่ของแมลงวันบ้านมีอายุประมาณ 1 เดือน


ชื่อสามัญ : Silverfish
ชื่อวิทยาศาสตร์ : Lepisma saccharina
Order : Thysanura
Class : Insecta

                รูปร่างลักษณะ: เป็นแมลงไม่มีปีก ลำตัวแบนรูปไข่ยาว 10-15 มม. ปกคลุมด้วยขนเล็กๆ (scale) มีสีเงินเทา มีจุดดำเล็กๆ ตามลำตัว หนวดยาว มีแพนหาง (cerci) 3 เส้น แมลงสามง่ามเป็นแมลงที่ออกหากินกลางคืน มักพบตามกองหนังสือ กระดาษ และเสื้อผ้า วิ่ง-เดิน ได้รวดเร็ว ตัวเมียวางไข่เดี่ยวๆ ตามรอยแตก สามารถวางไข่ได้ถึง 100 ฟอง วงจรชีวิตประมาณ 3-24 เดือน หรือมากกว่า อาจมีชีวิตยาวนานถึง 4 ปี
อาหาร : อาหารจำพวกแป้ง ผ้าชนิดต่างๆ หรือวัสดุที่ทำจากผ้า หนังสือ
วิธีการป้องกันกำจัด :
1. ควรทำความสะอาดพื้นอาคารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดแหล่งอาหารที่ตกอยู่ตามพื้น และแหล่งหลบซ่อนตามซอกมุมต่างๆ เช่น ตามมุมของโคนเสา ตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้า เป็นต้น
2. ซ่อมแซมรอยแตกร้าวของผนังอาคาร เพื่อป้องกันการเข้ามาอาศัยของแมลง
3. ทำการ Fumigate วัตถุดิบก่อนที่จะนำเข้ามาเก็บไว้ และ Fumigate สินค้าที่รอ Reject เพื่อป้องกัน การแพร่พันธุ์ของแมลงในโรงเก็บ กระจายไปในพื้นที่ใกล้เคียงได้
4. ไม่เก็บวัตถุดิบไว้เป็นเวลานาน เพื่อไม่ไห้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หรือแหล่งสะสมของแมลงในโรงเก็บ
5. ใช้ pheromone trap เพื่อกำจัดตัวเต็มวัยและเป็นตัว monitor การระบาดและการแพร่กระจายของแมลงจำพวกมอดแป้ง และมอดยาสูบ


ตั๊กแตน  (Grasshoppers)

                ตั๊กแตน เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Orthoptera มีลักษณะสำคัญคือ มีปากแบบกัดกิน (Chewing Type) พบตั้งแต่ในระยะตัวอ่อนจนถึงตัวเต็มวัย  มีตารวมขนาดใหญ่  มีหนวดเป็นแบบเส้นด้าย  (filiform) ปีกคู่หน้าเป็นคล้ายหนัง (tegmina) ปีกคู่หลังแบบบางใส (membrane) ซึ่งพับอยู่ใต้ปีกคู่หน้า ขา 2 คู่แรกเป็นขาเดิน  ( walking legs) ขาคู่หลังเป็นแบบกระโดด (jumping legs)  tarsi มี 3 5 ปล้อง  ตั๊กแตนมีอวัยวะพิเศษคือ อวัยวะทำเสียง และอวัยวะฟังเสียง เพื่อใช้ในการสื่อสาร หาคู่ และไล่ศัตรู อวัยวะทั้งสองอย่างสามารถช่วยแยกกลุ่มของแมลงได้ การเจริญและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นแบบ Paurometabola เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า gradual metamorphosis เป็นการเปลี่ยนแปลง รูปร่างทีละน้อย ระยะตัวอ่อนเรียกว่า Nymph  ตัวอ่อนจะมีขนาดเล็กกว่าตัวเต็มวัยแต่ยังไม่มีปีก และจะลอกคราบและเจริญเติบโตไปจนเป็นตัวเต็มวัยเมื่อมีการลอกคราบครั้งสุด ท้าย  การวางไข่  มี ลักษณะแตกต่างกัน อาจเป็นไข่เดี่ยวหรือไข่กลุ่ม มีทั้งวางในดินและวางไข่ในพืชอาหาร  
          ตั๊กแตนส่วนใหญ่ที่พบ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ ตั๊กแตนหนวดสั้น (short-horn grasshoppers) ตั๊กแตนหวดยาว  (long-horn grasshoppers) และตั๊กแตนแคราะ (pygmy grasshoppers)
         ตั๊กแตน หนวดสั้น ที่พบมีอยู่หลายชนิด จัดอยู่ในวงศ์ Acricidae  ลักษณะเด่นในวงศ์นี้ คือมีหนวดสั้น pronotum ยาวไม่ถึง ท้อง tarsi มี 3 ปล้อง  อวัยวะวางไข่สั้น ลำตัวมีสีเทา หรือสีน้ำตาล ปีกของตั๊กแตนบางชนิดมีสีสรรสดใส  การวางไข่จะวางเป็นกลุ่มในดิน    ตั๊กแตนหนวดสั้นบางชนิดมีอวัยวะทำเสียง โดยการเสียดสีกันของปุ่มเล็กๆเรียงกันเป็นแถวตามยาวที่ femer ด้านในของขาคู่หลัง  และมีอวัยวะฟังเสียงที่เรียกว่า Tympanum  เป็น อวัยวะที่มีลักษณะเป็นแผ่นเยื่อบาง รอรับการกระทบของคลื่นเสียง พบที่ ส่วนท้องปล้องที่ 1 ทางด้านข้างของตั๊กแตน   ส่วนใหญ่จะเกาะอยู่ตามใบไม้ 
       ตั๊กแตนหนวดยาว  จัดอยู่ในวงศ์  Tettigoniidae  เป็นแมลงที่มีลำตัวขนาดใหญ่ ลำตัวสีเขียว   หนวดยาว  tarsi มี 4 ปล้อง อวัยวะทำเสียงเกิดจากการเสียดสีกันของปีกคู่หน้า  และมีอวัยวะรับฟังเสียงอยู่ที่ tibia ของขาคู่หน้า  อวัยวะวางไข่แข็งแรงรูปร่างคล้ายดาบ   ชอบวางไข่บนหรือภายในเนื้อเยื่อพืช  ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ  จะพบเห็นตั๊กแตนหนวดยาวได้น้อยกว่า ตั๊กแตนหนวดสั้น
      ตั๊กแตนแคราะ  จัด อยู่ในวงศ์ Tetrigidae  ลักษณะจะใกล้เคียงกับตั๊กแตนหนวด สั้น แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยจะมีขนาดประมาณ 13 – 19 มิลลิเมตร  ตัวเมียมักมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ลักษณะเฉพาะ คือ pronotum ขยายไปทางด้านหลังคลุม ส่วนท้อง  ปีกคู่หน้าสั้น ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ มักพบอยู่ตามทางเดิน  เวลาเดินไปบริเวณที่ตั๊กแตนอาศัยอยู่  มันจะกระโดดหนีไปทางด้านหน้าของเรา

แมงป่อง (Scorpion) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีการค้นพบฟอสซิลของแมงป่องที่มีอายุถึง 440 ล้านปี เช่น Archaeobuthus estephani หรือ Protoischnurus axelrodorum
                แมงป่องเป็นสัตว์มีพิษ มีรูปร่างคล้ายปู ลำตัวยาวเป็นปล้อง ๆ ประมาณ 2-10 เซนติเมตร มีก้ามคล้ายก้ามปู 1 คู่ และลำตัวติดกัน มีขาเป็นปล้อง ๆ 4 คู่ติดอยู่ ท้องยาวออกไปเป็นหาง มี 5 ปล้อง ที่ปลายหางมีอวัยวะสำหรับต่อย (stinger) ไม่ชอบแสงสว่าง มักจะหลบซ่อนตัวอยู่ตามสถานที่มืดและชื้น เช่น ใต้ก้อนหิน ใต้กองไม้ ใต้ใบไม้ หรือขุดโพรงหรือรูอยู่ตามป่าละเมาะ และออกหากินในเวลากลางคืน ทั่วโลกมีแมงป่องประมาณ 1,200 ชนิด (species) อยู่ ทั้งในเขตทะเลทราย (desert) เขตร้อนชื้น (tropic) หรือแม้แต่แถบชายฝั่งทะเล พบชนิดที่มีพิษร้ายแรง 50 ชนิด บาง ชนิดมีพิษรุนแรงมาก เช่น แมงป่องในสกุล Centruroides ที่รัฐอริโซน่า สหรัฐอเมริกา บราซิล เม็กซิโก และทะเลทรายซาฮาร่า
                ในประเทศไทย มี 11 ชนิดที่พบบ่อยมากที่สุด คือ แมงป่องในอันดับ Scorpiones (หรือ Scorpionida) วงศ์ Scorpionidae สกุล Heterometrus ได้แก่ H. longimanus และ H. laoticus พบ H. laoticus มากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย




ชื่อภาษาไทย  แมลงดานา
ชื่อท้องถิ่น  แมงดา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lethocerus indicus Lep.-Serv.
อันดับ         Hemiptera
ชื่อวงศ์        Belostomatidae
ชื่อสามัญ  Giant water bug
ลักษณะทางกายภาพ
           แมลงดานาเป็นพวกมวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และนิยมบริโภคกันทุกภาคของประเทศไทย ตัวโตเต็มที่มีขนาดประมาณ 3 นิ้ว ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย ขนาดลำตัวของตัวผู้ยาวประมาณ 70-75 มิลลิเมตร ตัวเมียขนาดประมาณ 80-85 มิลลิเมตร มีลำตัวยาวเป็นรูปไข่ ด้านท้องและทางด้านหลังมีลักษณะแบน หัวสีน้ำตาลแก่ปนเขียว ตาสีดำ ปีกสีเกือบดำยกเว้นบริเวณขอบบางส่วนของปีกมีสีน้ำตาลอ่อน ขาคู่หน้าเป็นแบบขาว่ายน้ำ และมีขนอ่อนสีน้ำตาลคลุมตลอดทั้งขา ปากเป็นแบบเจาะดูด ลักษณะเป็นท่อยาวออกมาจากด้านหน้าของส่วนหัว และเก็บซ่อนไว้ด้านล่างของศรีษะ ปลายปากมีลักษณะคล้ายหนามแหลมเรียวใช้แทงเข้าไปในร่างกายเหยื่อแล้วดูดกิน น้ำเหลวๆในตัวเหยื่อ อาหารของแมลงดานา ได้แก่ ลูกกบ ลูกอ๊อด ลูกอึ่งอ่าง ปู ปลา กุ้ง ส่วนท้ายของท้องมีปลายโผล่ออกมาเรียกว่าระยางค์ (Apical abdominal appendage) ลักษณะเป็นเส้นเรียวยาว 2 เส้นคู่กัน ประกอบด้วยขนที่ละเอียดและไม่เปียกน้ำ ทำหน้าที่ในการหายใจโดยใช้รยางค์นี้โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำเพื่อดูดออกซิเจน แล้วนำไปเก็บในลำตัวทางปลายท่อ

แหล่งที่พบ
             แมลงดานามีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ โดยอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น  น้ำตามนาข้าว  หนอง  บึง เป็นต้น ออกหาอาหารในตอนกลางวัน ในตอนกลางคืนเมื่ออากาศเย็นลง ในน้ำมีออกซิเจนอยู่น้อย ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ แมลงดานาจึงบินออกจากแหล่งน้ำ บินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ที่อาศัยอยู่ เมื่อใกล้สว่างจึงอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนกับผิวน้ำที่เรียกว่า "ยูวี" เป็นตัวนำทางในการบินกลับแหล่งน้ำ
ประโยชน์และความสำคัญ
          
   แมลงดานาตัวผู้ที่มีกลิ่นฉุน ชาวบ้านนิยมนำไปตำเป็นน้ำพริก น้ำแจ่ว ป่น ส่วนตัวเมียสามารถนำไปปรุงอาหารดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะมีกลิ่นฉุนน้อยกว่า หากหาแมลงดานาตัวเมียได้มาก ก็จะนำไปจี่ ก้อย ดอง (ใช้ได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย)


ลักษณะ
จิ้งหรีดเป็นสัตว์จำพวกแมลง กินพืชเป็นอาหาร มัก จะส่งเสียงอย่างไพเราะทั้งกลางวันและกลาง คืน เพื่อเรียกร้องความสนใจจากจิ้งหรีดตัว เมีย

ถิ่นที่อยู่
จิ้งหรีดอาศัยอยู่ในรูดินมีลักษณะเป็นนูน ดินเม็ดเล็ก ๆ สามารถมองเห็นชัดเจนด้วยตา เปล่า มักอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่น ต้น มะม่วง ลำไย กระท้อน จิ้งหรีดจะขุดอยู่รวม ๆ หรือ ใกล้ ๆ กันเป็นกลุ่ม รูลึกประมาณ 30 เซนติเมตร มีจิ้งหรีดรูละ 2 ตัว

ความสัมพันธ์กับชุมชน
ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าจิ้งหรีดเริ่มร้องอากาศจะ เปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว จึงทำให้ ชาวพิษณุโลกเตรียมตัวเพื่อปรับสภาพร่างกายของ ตนได้อย่างถูกต้อง

ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
จิ้งหรีดเป็นแมลงกินพืชเป็นอาหารจึงจัดว่า เป็นแมลงที่สะอาดไม่มีพิษภัย สามารถนำไป ประกอบอาหารจำหน่ายเพื่อเป็นรายได้เสริม มีคุณ ค่าทางโปรตีนสูง