ชื่อวิทยาศาสตร์ : Sterocera acquisignata Saunders
อันดับ : Coleoptera
ชื่อวงศ์ : Buprestidae
ชื่อสามัญ : Metalic Wood Boring Beetle
ชื่ออื่น : แมงคับ
ประเภทสัตว์ : สัตว์ปีก
อันดับ : Coleoptera
ชื่อวงศ์ : Buprestidae
ชื่อสามัญ : Metalic Wood Boring Beetle
ชื่ออื่น : แมงคับ
ประเภทสัตว์ : สัตว์ปีก
ลักษณะทาง กายภาพ :
แมลงทับมีลำตัวเหลือบเป็นมัน มีสีเขียวน้ำเงินสวยเป็นเงางาม โดยเฉพาะที่ด้านล่างของลำตัวปล้องที่ 2 และปล้องแรกไม่แยกจากกันเด่นชัดนัก ตัวมันแข็งมาก มักพบทั่วไปในขณะที่มีแสงแดดดี ตกใจง่าย บินเร็ว
แหล่งที่พบ :
ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในดิน ตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ตามใบไม้ของไม้ต้นและไม้พุ่ม เช่น ต้นมะค่า ต้นเต็ง ต้นมะขาม บางชนิดชอบอยู่ ในต้นไม้ตายที่ล้ม และจะเปลี่ยนต้นเรื่อย ๆ ไม่อยู่ประจำต้นเดียว ตัวเมียวางไข่ในรอยแตกของเปลือกไม้ ตัวไม่เต็มวัยชอบเจาะใต้เปลือกไม้เข้าไปในเนื้อไม้เป็นรอยคาดรอบกิ่งไม้ ต้นไม้ถูกทำลาย อาจเป็นต้นไม้ถูกตัดแล้วใหม่ๆ หรือล้มลงเอง อาจพบบ้างที่ทำความเสียหายแก่ลำต้น กิ่งของไม้ผล
ตัวอ่อนอาศัยอยู่ในดิน ตัวเต็มวัยอาศัยอยู่ตามใบไม้ของไม้ต้นและไม้พุ่ม เช่น ต้นมะค่า ต้นเต็ง ต้นมะขาม บางชนิดชอบอยู่ ในต้นไม้ตายที่ล้ม และจะเปลี่ยนต้นเรื่อย ๆ ไม่อยู่ประจำต้นเดียว ตัวเมียวางไข่ในรอยแตกของเปลือกไม้ ตัวไม่เต็มวัยชอบเจาะใต้เปลือกไม้เข้าไปในเนื้อไม้เป็นรอยคาดรอบกิ่งไม้ ต้นไม้ถูกทำลาย อาจเป็นต้นไม้ถูกตัดแล้วใหม่ๆ หรือล้มลงเอง อาจพบบ้างที่ทำความเสียหายแก่ลำต้น กิ่งของไม้ผล
ประโยชน์และความสำคัญ :
แมลงทับไทยที่มีอยู่ 2 พันธุ์ ทั้งพันธุ์ขาเขียวที่มีอยู่มากในภาคกลาง และพันธุ์ขาแดงที่มีมากที่สุดตามป่าเขาในภาคอีสาน ทั้งในเขตเมืองและป่าดงดิบกำลังอยู่ในอันตรายจำนวนลดฮวบอย่างน่ากลัว กลายเป็น สิ่งหาดูได้ยาก เกิดจากพืชอาหารของมันที่มีใบต้นพันชาด ต้นเต็ง ต้นพะยอม ต้นตะแบก ต้นคางคกหรือกางขี้มอด ต้นรัง ต้นแดง ต้นประดู่ ต้นกระบก ต้นมะขามป้อม ต้นมะค่าแต้ และต้นคูนลดจำนวนลงมาก อีกเหตุผลหนึ่งเกิดจากคนจำนวนมากหลงใหลในรสชาติของมัน พากันจับเอาไปกิน ใช้วิธีเอาท่อนไม้ใหญ่ๆฟาดลงไปกลางลำต้นพืชอาหารที่มันเกาะอาศัยอยู่ ก่อให้เกิดการสั่นเขย่าอย่างแรงให้มันร่วงลงมาแล้วจับเอาไปกินในรูปการต่างๆ ตั้งแต่เด็ดปีกเสียบไม้ย่างกิน เอาไปผัดน้ำมันกินหรือเอาไปคั่วกิน ส่วนปีกของมันที่เด็ดออกเอาไปประดับฝาบ้านหรือไม่ก็เอาไปประดับกระติบข้าว นำไปเผาไฟ คั่ว ทอดหรือยัดไส้หมู สับและนึ่ง โดยเด็ดปีก หัว และขาออก ปีกยังสามารถนำไปทำเครื่องประดับอีกมากมาย
แมลงทับไทยที่มีอยู่ 2 พันธุ์ ทั้งพันธุ์ขาเขียวที่มีอยู่มากในภาคกลาง และพันธุ์ขาแดงที่มีมากที่สุดตามป่าเขาในภาคอีสาน ทั้งในเขตเมืองและป่าดงดิบกำลังอยู่ในอันตรายจำนวนลดฮวบอย่างน่ากลัว กลายเป็น สิ่งหาดูได้ยาก เกิดจากพืชอาหารของมันที่มีใบต้นพันชาด ต้นเต็ง ต้นพะยอม ต้นตะแบก ต้นคางคกหรือกางขี้มอด ต้นรัง ต้นแดง ต้นประดู่ ต้นกระบก ต้นมะขามป้อม ต้นมะค่าแต้ และต้นคูนลดจำนวนลงมาก อีกเหตุผลหนึ่งเกิดจากคนจำนวนมากหลงใหลในรสชาติของมัน พากันจับเอาไปกิน ใช้วิธีเอาท่อนไม้ใหญ่ๆฟาดลงไปกลางลำต้นพืชอาหารที่มันเกาะอาศัยอยู่ ก่อให้เกิดการสั่นเขย่าอย่างแรงให้มันร่วงลงมาแล้วจับเอาไปกินในรูปการต่างๆ ตั้งแต่เด็ดปีกเสียบไม้ย่างกิน เอาไปผัดน้ำมันกินหรือเอาไปคั่วกิน ส่วนปีกของมันที่เด็ดออกเอาไปประดับฝาบ้านหรือไม่ก็เอาไปประดับกระติบข้าว นำไปเผาไฟ คั่ว ทอดหรือยัดไส้หมู สับและนึ่ง โดยเด็ดปีก หัว และขาออก ปีกยังสามารถนำไปทำเครื่องประดับอีกมากมาย
แมลงปอ (อังกฤษ: Dragonfly) เป็นแมลงมีปีก 4 ปีก กินแมลงเป็นอาหาร บางคนเรียกว่า นักล่าแห่งเวหา เพราะมีความสามารถในการบินสูงมาก แมลงปอสามารถบินได้ไกลถึง 100 ก.ม. การขยับปีกขึ้น-ลง จะใช้ความเร็วเฉลี่ยประมาณ 500 ครั้งต่อวินาที
ประเภท และชนิด
แมลงปอในโลกนี้มีอยู่มากกว่า 5,000 ชนิด(species) จัดอยู่ประมาณ 500 สกุล ซึ่งศาสตราจารย์ G.H.Carpenter ซึ่งเป็นศาสตราจารย์ประจำมหาวิทยาลัยแมนเชสเตอร์ ประเทศอังกฤษ แบ่งแมลงปอออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ โดยดูจากลักษณะของเส้นปีก รูปร่างปีก และลักษณะการวางปีกขณะเกาะอยู่ แบ่งเป็น
1. กลุ่มแมลงปอบ้าน มีลักษณะตัวใหญ่ สีเข้ม หัวโต ตากว้างแต่ไม่โปน ปีกคู่หลังใหญ่กว่าปีกคู่หน้า เวลาเกาะจะกางปีกในแนวราบ
2. กลุ่มแมลงปอเข็ม มีตัวเล็ก ตาโปน ปีกคู่หลังมีขนาดเท่ากับปีกคู่หน้า เวลาเกาะจะหุบปีก
ในประเทศไทยมีการค้นพบแมลงปอมากกว่า 295 ชนิด
ตัวอ่อนแมลงปอ ( naiad ) อาศัยอยู่ตามแหล่งน้ำจืดทั่วไป ลักษณะแตกต่างจาก ตัวพ่อตัวแม่ เพราะตัวแม่วางไข่ในน้ำ หรือตามพืชน้ำ ลอกคราบ ประมาณ 10-15 ครั้ง จึงเป็นตัวเต็มวัย กินลูกน้ำและลูกอ๊อดเป็นอาหาร บางครั้งก็กินพวกเดียวกันเอง ตัวอ่อนแมลงปอหายใจด้วยเหงือกที่อยู่บริเวณหาง ตัวอ่อนแมลงปอเคลือนใหวโดยการใช้ขาพายน้ำและการพ้นน้ำออกจากก้นเหมือนไอพ้น เพื่อให้เองตัวพุ่งไปข้างหน้า ตัวอ่อนแมลงปอใช้ชีวิตนานอยู่ในน้ำนาน1-3ปี จากนั้นจึงขึ้นจากน้ำมาลอกคราบและผึ่งปีกเพื่อจะกลายเป็นตัวเต็มวัย แมลงปอมักผึ่งปีกในเวลากลางคืน รุ่งขึ้นเมื่อปีกแห้งก็สามารถบินได้
แมลงหวี่ (Pomace flies)
แมลงหวี่แบ่งเป็น 3 ชนิด ดังนี้
1. แมลงหวี่ (Pomace Flies) :Drosophila spp. แมลงหวี่มีลำตัวเล็ก ตัวเต็มวัยยาวประมาณ 3-4 มม. ลำตัวมีสีเหลืองถึงน้ำตาลดำ ตามีขนาดใหญ่สีแดง กินอาหารจำพวกผัก และผลไม้ ชอบผลไม้ที่เน่าเสีย มีราขึ้น
2. แมลงหวี่ตา (Eye Flies) : Hippelates pallipes เป็นแมลงตัวเล็กๆ ขนาด 1.5-2.5 มม. ลำตัวมีสีน้ำตาลถึงดำ ตามีสีน้ำตาลขนาดใหญ่ อาหารพืชผัก หรือผลไม้เน่าเปื่อย ขยะ อาหารสด เมือกและน้ำเหลืองของคนและสัตว์
3.แมลงหวี่ขน (Moth Flies) : Psychoda alternata SAY ลักษณะทั่วไป คือ บริเวณบนปีกมีขนหรือขนผสมเกล็ดปกคลุมเต็ม ปลายปีกเป็นมุมแหลม ตัวหนอนกินวัตถุที่ตายและเน่าเปื่อยแล้วเป็นอาหาร ตัวเต็มวัยเพศเมียบางชนิดอาจกัดและดูดเลือดคน
การป้องกันและกำจัด :3.แมลงหวี่ขน (Moth Flies) : Psychoda alternata SAY ลักษณะทั่วไป คือ บริเวณบนปีกมีขนหรือขนผสมเกล็ดปกคลุมเต็ม ปลายปีกเป็นมุมแหลม ตัวหนอนกินวัตถุที่ตายและเน่าเปื่อยแล้วเป็นอาหาร ตัวเต็มวัยเพศเมียบางชนิดอาจกัดและดูดเลือดคน
1. กำจัดเศษขยะมูลฝอย โดยเฉพาะที่เป็นขยะอาหารสด ผักผลไม้เน่า สามารถลดแหล่งเพาะพันธุ์ของแมลงหวี่ได้
2.ใช้การอบละอองสารเคมี(misting) เพื่อกำจัดตัวเต็มวัยของแมลงหวี่
แมลงวันจัดอยู่ใน Phylum Arthropoda จัดอยู่ใน Class Insecta Order Diptera และ Suborder Cyclorrhapha มีการเจริญเติบโตเป็น 4 ระยะ เช่นเดียวกับยุง คือ ระยะ ไข่ ตัวอ่อน ดักแด้ และตัวแก่ ถ้าอยู่ในสภาวะที่เหมาะสมแมลงวันจะวางไข่ครั้งละ 100-150 ฟอง แมลงวันมีปาก 2 แบบคือ แบบที่ใช้ดูด ได้แก่ แมลงวันคอก และแบบที่ใช้ขูดหรือครูด ได้แก่แมลงวันบ้าน เป็นต้น แมลงวันที่เป็นปัญหาต่อการสาธารณสุขคือแมลงวันบ้าน และแมลงวันหัวเขียว
1.แมลงวันบ้าน ( House Flies )
แมลงวันบ้านที่พบมากที่สุดคือ Musca domestica แมลงวันบ้านเป็นแมลงที่พบได้ทั่วโลกยกเว้นบริเวณที่มีอากาศหนาวจัด ซึ่งเป็นพาหะนำโรคหลายชนิด ได้แก่ อหิวาตกโรค ไข้รากสาด บิด เป็นต้น และเป็น Intermediate host ของหนอนพยาธิบางชนิด ซึ่งแมลงวันนำเชื้อโรคมาสู่คนได้โดย การสำรอกน้ำย่อยและน้ำลายออกมาปนเปื้อนอาหารของมนุษย์ จึงทำให้เป็นโรค
วงจรชีวิตของแมลงวันบ้าน
ระยะเป็นไข่ แมลงวันบ้านมักจะวางไข่ตามมูล สัตว์ สิ่งปฏิกูล มูลฝอยเปียก น้ำเสีย และสารอินทรีย์เน่าเปื่อยอื่น ๆ ไข่มีรูปร่างเป็นวงรี สีขาวนวล ขนาดประมาณ 1 มิลลิเมตร ถ้าหากอากาศอบอุ่นจะแตกตัวออกเป็นตัวอ่อนภายใน 1/2-1 วัน
ระยะตัวอ่อน ตัวอ่อนของแมลงวันบ้านมีรูปร่าง ทรงกระบอกปลายข้างหนึ่งเป็นรูปกรวย ยาวประมาณ 10-12 มิลลิเมตร ตัวอ่อนลอกคราบ 3 ครั้ง ถ้าอากาศอบอุ่นภายในเวลา 4-7 วัน มันจะคลานออกมาจากสิ่งปฏิกูล ตกลงสู่พื้นกลายเป็นดักแด้
ระยะดักแด้ ดักแด้ของแมลงวันบ้านมักอยู่ในที่ สงบ เช่น ในดิน กองเศษไม้ใบหญ้า เป็นต้น ไม่มีการเคลื่อนไหวไปไหน อายุการเป็นดักแด้ขึ้นอยู่กับภูมิอากาศ ถ้าอากาศอบอุ่นเป็นเวลา 3 วันก็จะลอกคราบกลายเป็นดักแด้ แต่ถ้าอากาศเย็นอาจนานถึง 26 วัน จึงจะกลายเป็นตัวแก่
ระยะตัวแก่ ตัวแก่ของแมลงวันบ้านตัวผู้มีลำ ตัวยาวประมาณ 5.8-6.5 มิลลิเมตร ตัวเมียยาวประมาณ 6-9 มิลลิเมตร มีสีเทาหม่น มีหนวดเส้นเล็ก ๆ 2 เส้น สำหรับรับความรู้สึก มีปีก 2 คู่ มีลักษณะใสไม่มีเกล็ด มีขา 3 คู่ ส่วนท้องและอกมีสีเหลืองปนเทา มีรอยเส้นตามยาวแคบ ๆ อยู่ 4 เส้น สามารถบินได้ไกลจากแหล่งกำเนิดในระยะประมาณ 6 ไมล์ ภายใน 24 ชั่วโมง แต่โดยทั่วไปมักบินวนหากินในระยะ 100-500 เมตร ตัวแก่ของแมลงวันบ้านมีอายุประมาณ 1 เดือน
ชื่อสามัญ : Silverfishชื่อวิทยาศาสตร์ : Lepisma saccharina
Order : Thysanura
Class : Insecta
รูปร่างลักษณะ: เป็นแมลงไม่มีปีก ลำตัวแบนรูปไข่ยาว 10-
อาหาร : อาหารจำพวกแป้ง ผ้าชนิดต่างๆ หรือวัสดุที่ทำจากผ้า หนังสือ
วิธีการป้องกันกำจัด :1. ควรทำความสะอาดพื้นอาคารอย่างสม่ำเสมอ เพื่อลดแหล่งอาหารที่ตกอยู่ตามพื้น และแหล่งหลบซ่อนตามซอกมุมต่างๆ เช่น ตามมุมของโคนเสา ตู้ควบคุมวงจรไฟฟ้า เป็นต้น
2. ซ่อมแซมรอยแตกร้าวของผนังอาคาร เพื่อป้องกันการเข้ามาอาศัยของแมลง
3. ทำการ Fumigate วัตถุดิบก่อนที่จะนำเข้ามาเก็บไว้ และ Fumigate สินค้าที่รอ Reject เพื่อป้องกัน การแพร่พันธุ์ของแมลงในโรงเก็บ กระจายไปในพื้นที่ใกล้เคียงได้
4. ไม่เก็บวัตถุดิบไว้เป็นเวลานาน เพื่อไม่ไห้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์หรือแหล่งสะสมของแมลงในโรงเก็บ
5. ใช้ pheromone trap เพื่อกำจัดตัวเต็มวัยและเป็นตัว monitor การระบาดและการแพร่กระจายของแมลงจำพวกมอดแป้ง และมอดยาสูบ
ตั๊กแตน (Grasshoppers)
ตั๊กแตน เป็นแมลงที่อยู่ในอันดับ Orthoptera มีลักษณะสำคัญคือ มีปากแบบกัดกิน (Chewing Type) พบตั้งแต่ในระยะตัวอ่อนจนถึงตัวเต็มวัย มีตารวมขนาดใหญ่ มีหนวดเป็นแบบเส้นด้าย (filiform) ปีกคู่หน้าเป็นคล้ายหนัง (tegmina) ปีกคู่หลังแบบบางใส (membrane) ซึ่งพับอยู่ใต้ปีกคู่หน้า ขา 2 คู่แรกเป็นขาเดิน ( walking legs) ขาคู่หลังเป็นแบบกระโดด (jumping legs) tarsi มี 3 – 5 ปล้อง ตั๊กแตนมีอวัยวะพิเศษคือ อวัยวะทำเสียง และอวัยวะฟังเสียง เพื่อใช้ในการสื่อสาร หาคู่ และไล่ศัตรู อวัยวะทั้งสองอย่างสามารถช่วยแยกกลุ่มของแมลงได้ การเจริญและการเปลี่ยนแปลงรูปร่างเป็นแบบ Paurometabola เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า gradual metamorphosis เป็นการเปลี่ยนแปลง รูปร่างทีละน้อย ระยะตัวอ่อนเรียกว่า Nymph ตัวอ่อนจะมีขนาดเล็กกว่าตัวเต็มวัยแต่ยังไม่มีปีก และจะลอกคราบและเจริญเติบโตไปจนเป็นตัวเต็มวัยเมื่อมีการลอกคราบครั้งสุด ท้าย การวางไข่ มี ลักษณะแตกต่างกัน อาจเป็นไข่เดี่ยวหรือไข่กลุ่ม มีทั้งวางในดินและวางไข่ในพืชอาหาร
ตั๊กแตนส่วนใหญ่ที่พบ แบ่งออกเป็น 3 กลุ่มคือ ตั๊กแตนหนวดสั้น (short-horn grasshoppers) ตั๊กแตนหวดยาว (long-horn grasshoppers) และตั๊กแตนแคราะ (pygmy grasshoppers)
ตั๊กแตน หนวดสั้น ที่พบมีอยู่หลายชนิด จัดอยู่ในวงศ์ Acricidae ลักษณะเด่นในวงศ์นี้ คือมีหนวดสั้น pronotum ยาวไม่ถึง ท้อง tarsi มี 3 ปล้อง อวัยวะวางไข่สั้น ลำตัวมีสีเทา หรือสีน้ำตาล ปีกของตั๊กแตนบางชนิดมีสีสรรสดใส การวางไข่จะวางเป็นกลุ่มในดิน ตั๊กแตนหนวดสั้นบางชนิดมีอวัยวะทำเสียง โดยการเสียดสีกันของปุ่มเล็กๆเรียงกันเป็นแถวตามยาวที่ femer ด้านในของขาคู่หลัง และมีอวัยวะฟังเสียงที่เรียกว่า Tympanum เป็น อวัยวะที่มีลักษณะเป็นแผ่นเยื่อบาง รอรับการกระทบของคลื่นเสียง พบที่ ส่วนท้องปล้องที่ 1 ทางด้านข้างของตั๊กแตน ส่วนใหญ่จะเกาะอยู่ตามใบไม้
ตั๊กแตนหนวดยาว จัดอยู่ในวงศ์ Tettigoniidae เป็นแมลงที่มีลำตัวขนาดใหญ่ ลำตัวสีเขียว หนวดยาว tarsi มี 4 ปล้อง อวัยวะทำเสียงเกิดจากการเสียดสีกันของปีกคู่หน้า และมีอวัยวะรับฟังเสียงอยู่ที่ tibia ของขาคู่หน้า อวัยวะวางไข่แข็งแรงรูปร่างคล้ายดาบ ชอบวางไข่บนหรือภายในเนื้อเยื่อพืช ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ จะพบเห็นตั๊กแตนหนวดยาวได้น้อยกว่า ตั๊กแตนหนวดสั้น
ตั๊กแตนแคราะ จัด อยู่ในวงศ์ Tetrigidae ลักษณะจะใกล้เคียงกับตั๊กแตนหนวด สั้น แต่มีขนาดเล็กกว่า โดยจะมีขนาดประมาณ 13 – 19 มิลลิเมตร ตัวเมียมักมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ ลักษณะเฉพาะ คือ pronotum ขยายไปทางด้านหลังคลุม ส่วนท้อง ปีกคู่หน้าสั้น ในเส้นทางศึกษาธรรมชาติ มักพบอยู่ตามทางเดิน เวลาเดินไปบริเวณที่ตั๊กแตนอาศัยอยู่ มันจะกระโดดหนีไปทางด้านหน้าของเรา
แมงป่อง (Scorpion) จัดอยู่ในประเภทสัตว์ไม่มีกระดูกสันหลัง ไฟลัมอาร์โธรพอด มีมาตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ ซึ่งมีการค้นพบฟอสซิลของแมงป่องที่มีอายุถึง 440 ล้านปี เช่น Archaeobuthus estephani หรือ Protoischnurus axelrodorum แมงป่องเป็นสัตว์มีพิษ มีรูปร่างคล้ายปู ลำตัวยาวเป็นปล้อง ๆ ประมาณ 2-
ในประเทศไทย มี 11 ชนิดที่พบบ่อยมากที่สุด คือ แมงป่องในอันดับ Scorpiones (หรือ Scorpionida) วงศ์ Scorpionidae สกุล Heterometrus ได้แก่ H. longimanus และ H. laoticus พบ H. laoticus มากทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย
ชื่อท้องถิ่น แมงดา
ชื่อวิทยาศาสตร์ Lethocerus indicus Lep.-Serv.
อันดับ Hemiptera
ชื่อวงศ์ Belostomatidae
ชื่อสามัญ Giant water bug
ลักษณะทางกายภาพ
แมลงดานาเป็นพวกมวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และนิยมบริโภคกันทุกภาคของประเทศไทย ตัวโตเต็มที่มีขนาดประมาณ3 นิ้ว ตัวผู้มีขนาดเล็กกว่าตัวเมีย ขนาดลำตัวของตัวผู้ยาวประมาณ 70-75 มิลลิเมตร ตัวเมียขนาดประมาณ 80-85 มิลลิเมตร มีลำตัวยาวเป็นรูปไข่ ด้านท้องและทางด้านหลังมีลักษณะแบน หัวสีน้ำตาลแก่ปนเขียว ตาสีดำ ปีกสีเกือบดำยกเว้นบริเวณขอบบางส่วนของปีกมีสีน้ำตาลอ่อน ขาคู่หน้าเป็นแบบขาว่ายน้ำ และมีขนอ่อนสีน้ำตาลคลุมตลอดทั้งขา ปากเป็นแบบเจาะดูด ลักษณะเป็นท่อยาวออกมาจากด้านหน้าของส่วนหัว และเก็บซ่อนไว้ด้านล่างของศรีษะ ปลายปากมีลักษณะคล้ายหนามแหลมเรียวใช้แทงเข้าไปในร่างกายเหยื่อแล้วดูดกิน น้ำเหลวๆในตัวเหยื่อ อาหารของแมลงดานา ได้แก่ ลูกกบ ลูกอ๊อด ลูกอึ่งอ่าง ปู ปลา กุ้ง ส่วนท้ายของท้องมีปลายโผล่ออกมาเรียกว่าระยางค์ (Apical abdominal appendage) ลักษณะเป็นเส้นเรียวยาว 2 เส้นคู่กัน ประกอบด้วยขนที่ละเอียดและไม่เปียกน้ำ ทำหน้าที่ในการหายใจโดยใช้รยางค์นี้โผล่ขึ้นมาจากผิวน้ำเพื่อดูดออกซิเจน แล้วนำไปเก็บในลำตัวทางปลายท่อ
แมลงดานาเป็นพวกมวนที่มีขนาดใหญ่ที่สุด และนิยมบริโภคกันทุกภาคของประเทศไทย ตัวโตเต็มที่มีขนาดประมาณ
แหล่งที่พบ
แมลงดานามีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ โดยอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น น้ำตามนาข้าว หนอง บึง เป็นต้น ออกหาอาหารในตอนกลางวัน ในตอนกลางคืนเมื่ออากาศเย็นลง ในน้ำมีออกซิเจนอยู่น้อย ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ แมลงดานาจึงบินออกจากแหล่งน้ำ บินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ที่อาศัยอยู่ เมื่อใกล้สว่างจึงอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนกับผิวน้ำที่เรียกว่า "ยูวี" เป็นตัวนำทางในการบินกลับแหล่งน้ำ
ประโยชน์และความสำคัญ
แมลงดานามีชีวิตส่วนใหญ่อยู่ในน้ำ โดยอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำตามธรรมชาติที่เป็นน้ำนิ่ง เช่น น้ำตามนาข้าว หนอง บึง เป็นต้น ออกหาอาหารในตอนกลางวัน ในตอนกลางคืนเมื่ออากาศเย็นลง ในน้ำมีออกซิเจนอยู่น้อย ซึ่งไม่เพียงพอต่อความต้องการ แมลงดานาจึงบินออกจากแหล่งน้ำ บินวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ที่อาศัยอยู่ เมื่อใกล้สว่างจึงอาศัยแสงจากดวงอาทิตย์ที่สะท้อนกับผิวน้ำที่เรียกว่า "ยูวี" เป็นตัวนำทางในการบินกลับแหล่งน้ำ
ประโยชน์และความสำคัญ
แมลงดานาตัวผู้ที่มีกลิ่นฉุน ชาวบ้านนิยมนำไปตำเป็นน้ำพริก น้ำแจ่ว ป่น ส่วนตัวเมียสามารถนำไปปรุงอาหารดังกล่าวได้เช่นเดียวกัน แต่ไม่เป็นที่นิยมเพราะมีกลิ่นฉุนน้อยกว่า หากหาแมลงดานาตัวเมียได้มาก ก็จะนำไปจี่ ก้อย ดอง (ใช้ได้ทั้งตัวผู้และตัวเมีย)
ลักษณะ
จิ้งหรีดเป็นสัตว์จำพวกแมลง กินพืชเป็นอาหาร มัก จะส่งเสียงอย่างไพเราะทั้งกลางวันและกลาง คืน เพื่อเรียกร้องความสนใจจากจิ้งหรีดตัว เมีย
ถิ่นที่อยู่
ถิ่นที่อยู่
จิ้งหรีดอาศัยอยู่ในรูดินมีลักษณะเป็นนูน ดินเม็ดเล็ก ๆ สามารถมองเห็นชัดเจนด้วยตา เปล่า มักอยู่ใต้ต้นไม้ขนาดใหญ่ เช่น ต้น มะม่วง ลำไย กระท้อน จิ้งหรีดจะขุดอยู่รวม ๆ หรือ ใกล้ ๆ กันเป็นกลุ่ม รูลึกประมาณ 30 เซนติเมตร มีจิ้งหรีดรูละ 2 ตัว
ความสัมพันธ์กับชุมชน
ความสัมพันธ์กับชุมชน
ชาวบ้านเชื่อว่าถ้าจิ้งหรีดเริ่มร้องอากาศจะ เปลี่ยนจากฤดูฝนเป็นฤดูหนาว จึงทำให้ ชาวพิษณุโลกเตรียมตัวเพื่อปรับสภาพร่างกายของ ตนได้อย่างถูกต้อง
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ
ความสำคัญทางเศรษฐกิจ